องค์การเภสัชกรรม รับผิดชอบชีวิต ผลิตยาคุณภาพ
วิสัยทัศน์องค์การเภสัชกรรม เป็นองค์กรหลักเพื่อความมั่นคงทางยาและเวชภัณฑ์ของประเทศที่ทันสมัยและยั่งยืน
ภารกิจ (ตามพระราชบัญญัติองค์การเภสัชกรรม พ.ศ.2509) 1. ผลิตยาและเวชภัณฑ์ 2. ส่งเสริมให้มีการศึกษาและวิจัยการผลิตยาและเวชภัณฑ์ 3. ส่งเสริมการวิเคราะห์ยาและเวชภัณฑ์รวมทั้งวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตยาและเวชภัณฑ์ 4. ซื้อ ขาย แลกเปลี่ยน และให้ซึ่งยาและเวชภัณฑ์ 5. ดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการผลิตยาและเวชภัณฑ์
ภารกิจ (ตามวิสัยทัศน์) 1. ผลิต จำหน่ายและบริการผลิตภัณฑ์สุขภาพ มุ่งสู่มาตรฐานสากล 2. ดำเนินธุรกิจให้มีศักยภาพในการแข่งขันในอาเซียนและสามารถพึ่งตนเองได้ 3. รักษาระดับราคายาและเวชภัณฑ์ที่จำเป็นต่อสังคมไทยเพื่อประชาชนสามารถเข้าถึงได้ 4. วิจัยและพัฒนายาและเวชภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการและความจำเป็นต่อสังคม 5. สำรองยาและเวชภัณฑ์ไว้ยามฉุกเฉินเพื่อความมั่นคงของชาติ
ภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากกระทรวงสาธารณสุข
1. รักษาระดับราคายาและเวชภัณฑ์ไม่ให้เพิ่มสูงขึ้นโดยเร็ว 2. รักษาคุณภาพให้เป็นไปตามมาตรฐาน 3. จัดหาและสนองความต้องการด้านยาและเวชภัณฑ์ให้แก่หน่วยงานในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข 4. จัดหาและสนองความต้องการด้านวัคซีนและเซรุ่มให้แก่หน่วยงานในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข 5. สำรองยาและเวชภัณฑ์ตามแผนเตรียมพร้อมแห่งชาติ 6. จัดหา ส่งยาและเวชภัณฑ์แก่กองทุนและเวชภัณฑ์ประจำหมู่บ้านตามเป้าหมายของโครงการสาธารณสุขมูลฐาน 7. สนับสนุนนโยบายสาธารณสุขอื่นๆ นอกจากเรื่องยา และนโยบายที่เกี่ยวกับยาและเวชภัณฑ์ ทั้งด้านการผลิต การจัดหา การกระจาย การบริโภค การควบคุมการพึ่งตนเอง การใช้เทคนิคและทรัพยากรที่เหมาะสมภายในประเทศ
องค์การเภสัชกรรมเป็นองค์กรของรัฐมีภารกิจหลักในการผลิตยาและเวชภัณฑ์ สนับสนุนงานสาธารณสุขของประเทศ นับเป็นโรงงานผลิตยาแผนปัจจุบันแห่งแรกของประเทศไทย ถือกำเนิดขึ้นจากการรวมกิจการของโรงงานเภสัชกรรม ซึ่งก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ พ.ศ.2482 กับกองโอสถศาลา ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2444 ตามพระราชบัญญัติองค์การเภสัชกรรม พุทธศักราช 2509 มีฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข
เมื่อเริ่มกิจการในปี พ.ศ. 2509 องค์การเภสัชกรรมมีทุนเริ่มต้นจากรัฐบาล มีพนักงานซึ่งโอนมาจากโรงงานเภสัชกรรม และกองโอสถศาลา รวม 349 คน มีสินทรัพย์รวม 47 ล้านบาท
ปัจจุบันองค์การเภสัชกรรมดำเนินการผลิตยา เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์การแพทย์ ออกจำหน่ายกว่า 200 รายการ มีผู้ปฏิบัติงานประมาณ 2,200 คน และมีสินทรัพย์รวมกว่า 8,000 ล้านบาท
ในฐานะรัฐวิสาหกิจที่ดำเนินกิจการโดยทุนตั้งต้นของรัฐ องค์การเภสัชกรรมได้นำผลกำไรมาใช้ในการดำเนินการลงทุนขยายงาน เพิ่มผลผลิต พัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ การวิจัยและพัฒนา การส่งเสริมสังคมในด้านต่างๆ โดยไม่ต้องขอรับงบสนับสนุนจากรัฐ รวมทั้งนำเงินรายได้ส่งรัฐในจำนวนร้อยละ 35 ของผลกำไรโดยตลอดมา
การผลิต
องค์การเภสัชกรรมผลิตยาและเวชภัณฑ์ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ดีในการผลิตยา (Good Manufacturing Practice : GMP) ในทุกขั้นตอนของกระบวนการผลิตด้วยระบบการจัดการด้านคุณภาพที่เข้มงวดตั้งแต่วัตถุดิบที่นำมาใช้ในการผลิต บรรจุภัณฑ์ อาคารสถานที่ เครื่องจักร อุปกรณ์ บุคลากร รวมถึงสิ่งแวดล้อมเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงสุด โดยได้รับการรับรองมาตรฐานสากล ISO 9001 : 2000 และ ISO 14001
จากการรักษาและพัฒนามาตรฐานการผลิตยามาตรฐาน GMP อย่างเคร่งครัด องค์การเภสัชกรรมจึงได้รับการรับรองมาตรฐานการผลิตยาในทุกหมวดการผลิตตลอดมา และกำลังเตรียมตัวเข้าสู่มาตรฐาน WHO GMP ซึ่งเป็นมาตรฐาน GMP ระดับสากล เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในตลาดต่างประเทศและพัฒนามาตรฐานการผลิตยาในประเทศ
ผลิตภัณฑ์
ผลิตภัณฑ์ในด้านการรักษาโรคขององค์การเภสัชกรรม มีมากกว่า 200 รายการ ในทุกหมวดการผลิต (ยาเม็ด แคปซูล ขี้ผึ้ง ครีม ยาผง ยาฉีด ยาน้ำ ยาน้ำเชื่อม และยาน้ำเชื่อมชนิดแห้ง) ทั้งยาในบัญชียาหลักแห่งชาติและนอกบัญชี รวมถึงยาที่ใช้ในโครงการรณรงค์ทางการสาธารณสุขต่างๆ มีกำลังการผลิตต่อปีโดยประมาณ ดังนี้ ยาเม็ด 4,000 ล้านเม็ด แคปซูล 100 ล้านแคปซูล ยาน้ำ, ยาน้ำเชื่อม 5 ล้านลิตร ยาผง 0.15 ล้านกิโลกรัม ขี้ผึ้งและครีม 0.43 ล้านกิโลกรัม ยาฉีด 19 ล้านขวด/หลอด
ชีววัตถุ การผลิตชีววัตถุขององค์การเภสัชกรรม ได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2489 ในขณะที่ยังมีฐานะเป็นโรงงานเภสัชกรรม โดยผลิตวัคซีนป้องกันโรคไข้ทรพิษ (Smallpox Vaccine) ซึ่งเป็นโรคติดต่อร้ายแรงในขณะนั้น สามารถผลิตเพื่อสนองความต้องการของประเทศและภูมิภาค มีส่วนช่วยในการกวาดล้างไข้ทรพิษให้หมดไปจากโลกได้
หลังจากนั้นฝ่ายชีววัตถุยังดำเนินการผลิตวัคซีนและจัดหาวัคซีน เพื่อใช้ในโครงการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคให้กับประชาชนของกระทรวงสาธารณสุข โดยเป็นโรงงานเดียวในประเทศที่ทำการผลิตวัคซีนตั้งแต่ในขั้นต้นจนเป็นวัคซีนสำเร็จรูป
ปัจจุบันองค์การเภสัชกรรมมีการผลิตชีววัตถุทั้งประเภทวัคซีนและเซรุ่มรวม 8 รายการ ผลิตภัณฑ์ที่ได้มีการพัฒนาขึ้นมาที่สำคัญ ได้แก่ วัคซีนป้องกันโรคไข้สมองอักเสบจากไวรัสเจอีสายพันธุ์เบจิ้ง (Japanese Encephalitis Vaccine, Beijing Strain) ซึ่งมีการพัฒนาขึ้น
ผลิตภัณฑ์ชีววัตถุขององค์การเภสัชกรรม ส่วนใหญ่เป็นผลิตภัณฑ์ที่องค์การเภสัชกรรมดำเนินการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการของกระทรวงสาธารณสุข ตามแผนการรณรงค์เสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคเป็นหลัก โดยไม่มุ่งหวังผลกำไร
ยาตำราหลวง ยาตำราหลวงเป็นยาสามัญประจำบ้าน ที่องค์การเภสัชกรรมผลิตขึ้นสำหรับใช้ในการดูแลรักษาตนเองเบื้องต้น เมื่อมีอาการเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ เพื่อให้ประชาชนได้มียาดีราคาถูกไว้ใช้อย่างทั่วถึง เป็นยาที่มีความปลอดภัยสูง และมีราคาถูก ประชาชนสามารถหาซื้อไว้ใช้เองประจำบ้านได้อย่างปลอดภัย เพราะถึงแม้จะมีราคาถูก แต่เป็นยามาตรฐานเดียวกับยาประเภทอื่นๆ ขององค์การเภสัชกรรมเพียงแต่ต่างกันในขนาดบรรจุเท่านั้น
นวัตกรรมยาเพื่อสุขภาพคนไทย
องค์การเภสัชกรรมได้ให้ความสำคัญกับการวิจัยเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์รองรับงานสาธารณสุขของประเทศ โดยมุ่งเน้นการใช้ทรัยากรธรรมชาติภายในประเทศ ผสมผสานกับเทคโนโลยีที่ทันสมัยในการผลิต พัฒนายาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพต่างๆ ในมาตรฐานระดับสากล โดยมีการจัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาองค์การเภสัชกรรม ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยของประเทศ พร้อมพัฒนาออกมาเป็นรูปของผลิตภัณฑ์ต่างๆ อาทิ
ยาต้านไวรัสเอดส์ การผลิตยาต้านไวรัสเอดส์ขององค์การเภสัชกรรม เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 โดยเริ่มผลิตยาแคปซูล AZT (Zidovudine) 100 mg capsules หลังจากนั้นได้พัฒนาสูตรตำรับยาต้านไวรัสเอดส์อื่นๆ ตามมาอีกหลายรายการ แต่เป็นการผลิตในระดับห้องปฏิบัติการ จนในปี พ.ศ. 2544 จึงได้มีการขยายกำลังการผลิตเป็นระดับอุตสาหกรรม โดยใช้เงินลงทุนไปกว่า 22 ล้านบาท
องค์การเภสัชกรรมได้พัฒนาสูตรยาต้านไวรัสเอดส์ โดยรวมยา 3 ตัวไว้ในเม็ดเดียวกัน ซึ่งประกอบด้วย เนวิราปีน (nevirapine), ลามิวูดีน (lamivudine) และสตาวูดีน (stavudine) และได้รับอนุสิทธิบัตรจากกรมทรัพย์สินทางปัญญาเมื่อ 6 ส.ค.2545 ยาดังกล่าวคือยา GPO-VIR S30® และ GPO-VIR S40®
นอกจากนี้ยังมียาที่อยู่ในระหว่างการพัฒนาสูตรตำรับ ได้แก่ ยาเม็ดรวมเนวิราปีน (nevirapine), ลามิวูดีน (lamivudine) และ สตาวูดีน (stavudine) สำหรับเด็ก และยาเม็ดรวมเนวิราปีน (nevirapine), ลามิวูดีน (lamivudine) และ ซิโดวูดีน (zidovudine) สำหรับเด็กด้วย จากการพัฒนาสูตรตำรับยารวมนี้จะช่วยให้ผู้ป่วยใช้ยาได้สะดวกขึ้น และลดปัญหาการลืมรับประทานยา อันนำมาซึ่งภาวะการดื้อยาในอนาคต
การคิดค้นและพัฒนายาต้านไวรัสเอดส์ขององค์การเภสัชกรรม ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงยาได้มากขึ้น เนื่องจากยาต้านไวรัสเอดส์ขององค์การเภสัชกรรมให้ผลการรักษาเทียบเท่ายาต้นแบบ แต่ราคาถูกกว่ามาก
ปัจจุบันองค์การเภสัชกรรมผลิตยาต้านไวรัสเอดส์ ได้แก่ Zidovudine, Didanosine, Stavudine, Nevirapine, Lamivudine, Nelfinavir เป็นผลิตภัณฑ์ออกจำหน่ายรวม 24 รายการ และกำลังจะพัฒนาสู่มาตรฐานคุณภาพ WHO GMP
การผลิตยา Oseltamivir (GPO-A-Flu®)
จากสถานการณ์การระบาดของโรคไข้หวัดนกในช่วงที่ผ่านมาจึงทำให้ยา Oseltamivir ซึ่งเป็นยารักษาโรคไข้หวัดใหญ่เป็นที่ต้องการทั่วโลก
กระทรวงสาธารณสุขจึงมอบหมายให้องค์การเภสัชกรรมทำการศึกษาวิจัยและพัฒนาเพื่อผลิตยา Oseltamivir (GPO-A-Flu®) สำหรับการเตรียมพร้อมรับการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ เพื่อให้มียาสำรองไว้ใช้ภายในประเทศ หากเกิดภาวะขาดแคลนยาดังกล่าว โดยคาดว่าองค์การเภสัชกรรมสามารถผลิตได้ในราคาที่ถูกกว่ายาต้นแบบ และทำให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงยาได้มากขึ้น
การผลิตยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพจากสมุนไพร
ซึ่งเป็นการสนองนโยบายของภาครัฐ ที่เน้นเรื่องของการส่งเสริมและพัฒนาสมุนไพรให้แพร่หลายมากขึ้นในรูปของผลิตภัณฑ์ที่ทันสมัย อาทิ
การวิจัยวัตถุดิบเพื่อผลิตยา Deferiprone (L1) รักษาผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมีย ซึ่งรัฐต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลประมาณปีละ 5,000 - 6,000 ล้านบาท จากการวิจัยดังกล่าวทำให้ยารักษาโรคธาลัสซีเมียมีราคาถูกลง สามารถลดงบประมาณของรัฐในการซื้อยาลงได้ถึง 900 ล้านบาทต่อปี สำหรับการใช้ยาของผู้ป่วย 10,000 ราย
การผลิตยาโรคกระเพาะจากใบเปล้าน้อย ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อลดการนำเข้ายาตัวนี้จากต่างประเทศ
การผลิตผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพต่างๆ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากสมุนไพรขมิ้นชัน ประกอบด้วย GPO Curmin Cream, GPO Curmin Capsule, GPO Curmin Cleansing Gel, GPO Curmin Hydrating Toner, ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร GPO Naturplex, ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำจากสมุนไพร 5 ตัว ได้แก่ คัดเค้า สะแกนา พิกุล พลูคาว งวงตาล ผลิตภัณฑ์เจลล้างมือ จีพีโอ เซนเทลลา คลีน เจล ซึ่งเป็นสมุนไพรทำจากบัวบก เป็นต้น
องค์การเภสัชกรรมมุ่งมั่นที่จะดำเนินการวิจัยและพัฒนายา และสมุนไพรต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนต่อไป
การวิจัยและพัฒนา
องค์การเภสัชกรรมได้ให้ความสำคัญในการส่งเสริมสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา โดยจัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาของตนเองขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2535 เพื่อดำเนินการวิจัยและพัฒนาด้านต่างๆ ได้แก่ วิจัยและพัฒนาเภสัชกรรม (Pharmaceutical research and development), วิจัยเภสัชเคมีภัณฑ์ (Pharmaceutical chemistry research), วิจัยอุตสาหกรรมเภสัชและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ (Natural product and pharmaceutical raw material research), วิจัยอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology research), วิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์(Medical Science research), วิจัยมาตรฐานสมุนไพร (Phytochemical research) และมีกลุ่มสนับสนุนงานวิจัย (Research promotion group) ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มงานบริหารวิชาการ (Technical support unit), กลุ่มงานด้านศูนย์ข้อมูลสิทธิบัตรยา (Drug patent information center) และกลุ่มงานด้านธุรการ (Administration unit) เป็นกลุ่มงานที่ช่วยสนับสนุนให้การดำเนินการวิจัยมีความคล่องตัวมากขึ้น
การจัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาขององค์การเภสัชกรรม มีวัตถุประสงค์เพื่อรองรับงานวิจัย ซึ่งจะต้องพึ่งตนเองให้มากใน ทุกสาขาวิชา และเป็นแบบอย่างที่ดีแก่โรงงานผลิตยาในประเทศ อันจะทำให้ได้ผลิตภัณฑ์ยาที่มีคุณภาพเป็นไปตามมาตรฐาน ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่ประชาชนและประเทศชาติ
การประกันคุณภาพผลิตภัณฑ์
องค์การเภสัชกรรมมุ่งมั่นผลิตยาตามมาตรฐานวิธีการผลิตที่ดี สอดคล้องกับกฎหมายและข้อกำหนด เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีมาตรฐานสากล สนองความต้องการของลูกค้า โดยมีกลไกที่สำคัญคือ ระบบการประกันและควบคุมคุณภาพที่เข้มแข็ง และเป็นอิสระ
ฝ่ายประกันคุณภาพได้สร้างระบบคุณภาพและมีการบริหารจัดการระบบคุณภาพ โดยเริ่มตั้งแต่การคัดเลือกและควบคุมวัตถุดิบบรรจุภัณฑ์ที่จะนำมาใช้ในการผลิต การปฏิบัติงานที่ยึดมั่นในหลักเกณฑ์และวิธีการที่ดีในการผลิต (GMP) ซึ่งเกี่ยวเนื่องตั้งแต่การออกแบบสถานที่ผลิต การดำเนินการผลิต การตรวจสอบความถูกต้องของเครื่องมือเครื่องจักร ขบวนการผลิต วิธีวิเคราะห์การควบคุมคุณภาพผลิตภัณฑ์ระหว่างกระบวนการผลิตและผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป การติดตามความคงตัวของผลิตภัณฑ์ที่ออกจำหน่าย นอกจากนี้ยังมีการจัดการกับการเบี่ยงเบนในการผลิตและผลิตภัณฑ์ที่ไม่เป็นไปตามข้อกำหนด การตรวจติดตามด้านคุณภาพ การให้ความสำคัญกับข้อร้องเรียนของลูกค้า ซึ่งทำให้ระบบคุณภาพโดยรวมมีประสิทธิภาพ และมีการพัฒนาปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
องค์การเภสัชกรรมได้รับการรับรองมาตรฐานวิธีการที่ดีในการผลิต (GMP) จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาตั้งแต่ปี พ.ศ.2532 จนถึงปัจจุบัน และจะมุ่งมั่นพัฒนาด้านคุณภาพต่อไป เพื่อให้ได้การรับรองมาตรฐานการผลิตในระดับสากล โดยองค์การอนามัยโลก (WHO)
การบริการลูกค้า
องค์การเภสัชกรรมนำการบริหารคลังยาระบบ Vendor Managed Inventory, VMI มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ประสิทธิผล งานด้านการบริการ สร้างความพึงพอใจความประทับใจให้แก่ลูกค้า เนื่องจากเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value added) ในผลิตภัณฑ์ โดยการเข้าไปช่วยบริหารจัดการ stock ยาของลูกค้าให้มี stock ยาที่เหมาะสม โดยการนำยาไปเติมเต็มให้เมื่อถึงจุดกำหนด (Reorder point)
ประโยชน์ที่ได้รับจากการบริหารคลังยาระบบ VMI คือ การลด stock, ลด inventory cost โรงพยาบาลมีความพึงพอใจ เนื่องจากลดปริมาณการสำรอง และมียาใช้เพียงพอตลอดเวลา โรงพยาบาลได้รับยาที่ผลิตใหม่ ลดการสูญเสียจากการทำลายยาที่โรงพยาบาลส่งคืนยาที่หมดอายุ โรงพยาบาลสามารถขยายจำนวนผู้ป่วยที่เข้ารับบริการได้มากขึ้น เนื่องจากมีการบริหารคลังยาที่มีประสิทธิภาพ โดยใช้งบประมาณเท่าเดิม ประเทศชาติลดการสูญเสียทรัพยากรจากการทำลายยาหมดอายุ รักษาสภาพแวดล้อม อันเนื่องจากมีการทำลายยาหมดอายุลดลง นอกจากนี้ระบบ VMI ทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนบทบาทจากผู้ซื้อผู้ขายธรรมดากลายเป็นคู่ค้า (partner) ที่มีกิจกรรมต้องทำร่วมกันเพื่อลดต้นทุน นำไปสู่การร่วมมือกันพัฒนาปรับปรุงคุณภาพงานให้สูงขึ้น ทำให้ประชาชนผู้บริโภคได้รับยาที่มีคุณภาพในราคาสมเหตุผล (reasonable price)
การตลาด
องค์การเภสัชกรรมกระจายผลิตภัณฑ์ออกสู่ประชาชนโดยผ่านช่องทางต่างๆ ลูกค้าหลักขององค์การฯ คือ โรงพยาบาลและสถานบริการสาธารณสุขของรัฐทั่วประเทศ ซึ่งมีจำนวนมากกว่า 10,000 แห่ง นอกจากนั้นประชาชนยังสามารถซื้อยาขององค์การเภสัชกรรมได้จากร้านขายยาทั่วไป ร้านขายยาขององค์การเภสัชกรรมที่มีอยู่ 11 แห่ง ในเขตกรุงเทพฯ รวมทั้งกองทุนยาหมู่บ้าน ที่มีกระจายอยู่ทั่วไปในทุกจังหวัด
องค์การเภสัชกรรมดำเนินการด้านการตลาดโดยเน้นการบริการเพื่อสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้า โดยการพัฒนาระบบบริหารลูกค้าสัมพันธ์ (Customer Relationship Management) ระบบสมาชิก มีการจัดตั้งศูนย์บริการลูกค้าสัมพันธ์ เปิดระบบโทรศัพท์สายตรง (Call Center) 1648 เพื่อให้คำปรึกษาแนะนำและให้บริการด้านการตลาดอย่างครบวงจร
การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
ความพร้อมของบุคลากรเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาองค์กรไปสู่เป้าหมายสูงสุด องค์การเภสัชกรรมให้ความสำคัญกับบุคลากร โดยได้พัฒนาความรู้ความสามารถ เพื่อพัฒนาศักยภาพในการแข่งขันขององค์กร การฝึกอบรม สร้างเสริมประสบการณ์ รวมทั้งการนำเทคนิคในการบริหารจัดการเข้ามาใช้ อาทิ TQM, 5ส., Supply Chain, Competency ล้วนมีจุดมุ่งหมายในการพัฒนาทรัพยากรบุคคลให้มีคุณภาพและตระหนักในหน้าที่อันสำคัญของตนเอง ในการเป็นผู้รับผิดชอบต่อชีวิตของประชาชนชาวไทย ที่จะช่วยให้ประชาชนได้มียาดีมีคุณภาพไว้ใช้อย่างมั่นใจ
ความรับผิดชอบต่อสังคม
ในการดำเนินธุรกิจขององค์การเภสัชกรรม ได้คำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสังคม จึงมิได้มุ่งหวังกำไรเป็นหลัก การผลิตยาขององค์การเภสัชกรรมหลายรายการเป็นการผลิตยาเพื่อสังคมอย่างแท้จริง เนื่องจากเป็นยาที่ไม่ได้ให้ผลตอบแทนทางธุรกิจ อาทิ ยากำพร้า ซึ่งไม่มีผู้ใดผลิต ยาต้านไวรัสเอดส์, ยาต้านหวัดนก, ยารักษาผู้ป่วยธาลัสซีเมีย ทั้งนี้ก็เพื่อให้ประชาชนชาวไทยได้มียาดีมีคุณภาพและราคาถูก ไว้ใช้ในการรักษาอย่างทั่วถึง
กิจกรรมเพื่อสังคม
องค์การเภสัชกรรมได้กำหนดให้มีการดำเนินการด้านกิจกรรมเพื่อสังคมไว้ในแผนการดำเนินงานอย่างชัดเจน เพื่อมีส่วนร่วมในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในด้านต่างๆ ประกอบด้วย กิจกรรมการให้ความรู้ในการดูแลสุขภาพเบื้องต้น การสนับสนุนยาและเวชภัณฑ์ในกิจกรรมสาธารณประโยชน์และภาวะวิกฤติ การสนับสนุนและส่งเสริมการศึกษาของเยาวชนไทย การสนับสนุนด้านการวิจัยและพัฒนาเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมยาในประเทศ รวมถึงกิจกรรมสาธารณกุศลต่างๆ อาทิ โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืช อันเนื่องมาจากพระราชดำริ โครงการค่ายอาสายาเพื่อชีวิต โครงการเผยแพร่ความรู้เรื่องการใช้ยาแก่นักเรียนมัธยม โครงการรณรงค์เพื่อลดการแพร่กระจายของโรคเอดส์
ร้านขายยาองค์การเภสัชกรรม
นอกจากการกระจายยาผ่านทางโรงพยาบาล และสถานบริการสาธารณสุขทั่วประเทศแล้ว องค์การเภสัชกรรมได้จัดให้มีร้านยาขององค์การเภสัชกรรม เพื่อเป็นช่องทางให้การกระจายยาสู่ผู้บริโภคโดยตรง โดยจัดจำหน่ายยาและเวชภัณฑ์ทั้งที่ผลิตโดยองค์การเภสัชกรรม และผู้ผลิตอื่นๆ ในราคาย่อมเยา
ร้านขายยาองค์การเภสัชกรรม ตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพและปริมณฑลรวม 8 แห่ง ดังนี้
- ร้านขายยาองค์การเภสัชกรรม แผนกร้านค้า 1 สาขาราชเทวี (สำนักงานใหญ่) ตรงข้าม ร.พ.รามาธิบดี เลขที่ 75/1 ถ.พระรามที่ 6 แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400 โทร 0-2203-8847 0-2203-8849 โทรสาร 0-2644-6362
- ร้านขายยาองค์การเภสัชกรรม แผนกร้านค้า 2 สาขายศเส ด้านข้าง ร.พ.หัวเฉียว เลขที่ 693 ถ.บำรุงเมือง แขวงคลองมหานาค เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ 10100 โทร 0-2225-6367 0-2226-0358 โทรสาร 0-2226-0358
- ร้านขายยาองค์การเภสัชกรรม แผนกร้านค้า 3 สาขาจรัญสนิทวงศ์ เลขที่ 154/19-20 ถ.จรัญสนิทวงศ์ แขวงบ้านช่างหล่อ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ 10700 โทร 0-2412-9377 โทรสาร 0-2412-2884
- ร้านขายยาองค์การเภสัชกรรม แผนกร้านค้า 4 สาขาเทเวศร์ เยื้องธนาคารแห่งประเทศไทย เลขที่ 226 ถ.สามเสน แขวงบางขุนพรหม เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200 โทร 0-2282-0729 โทรสาร 0-2282-1170
- ร้านขายยาองค์การเภสัชกรรม แผนกร้านค้า 5 สาขารังสิต ใกล้ตลาดสี่มุมเมือง เลขที่ 370-371 ถ.พหลโยธิน ต.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี 12130 โทร 0-2536-3526 0-2536-4086 โทรสาร 0-2536-4086
- ร้านขายยาองค์การเภสัชกรรม แผนกร้านค้า 6 สาขากระทรวงสาธารณสุข ตึกกรมการแพทย์ อาคาร 2 ชั้น 1 กระทรวงสาธารณสุข ถ.ติวานนท์ อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000 โทร 0-2951-0925 0-2590-6034 โทรสาร 0-2951-0925
- ร้านขายยาองค์การเภสัชกรรม แผนกร้านค้า 9 สาขาศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 120 ชั้น 1 อาคาร B ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ถ.แจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ 10210 โทร 0-2143-8768 โทรสาร 0-2143-8768
- ร้านขายยาองค์การเภสัชกรรม แผนกร้านค้า 12 สาขาเวชศาสตร์เขตร้อน ข้างธนาคารไทยพาณิชย์ 420/6 อาคารวิทยบริการ ชั้น 1 โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน ถ.ราชวิถี แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400 โทร 0-2354-9061 โทรสาร 0-2354-9061
งานองค์การเภสัชกรรมสาขาภาค
องค์การเภสัชกรรมได้จัดตั้งสาขาภาคขึ้น เพื่อเป็นแหล่งกระจายยาขององค์การเภสัชกรรมไปสู่ส่วนภูมิภาคได้อย่างรวดเร็ว และสะดวกมากขึ้น โดยได้จัดตั้งสาขาภาคขึ้นแล้ว 3 แห่ง คือ
1. สาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เลขที่ 88 หมู่ที่ 10 ต.กุดสระ อ.เมือง จ.อุดรธานี 41000 โทร. 0-4221-8124-6, 0-2203-8990-1โทรสาร 0-4221-8036 รับผิดชอบให้บริการแก่ลูกค้าภาคราชการและเอกชนใน 7จังหวัด ได้แก่ ขอนแก่น สกลนคร หนองบัวลำภู นครพนม หนองคาย เลย และอุดรธานี
2. สาขาภาคเหนือ เลขที่ 44 หมู่ 3 ถ.เชียงใหม่-ฮอด อ.หางดง จ.เชียงใหม่ 50230 โทร. 0-5344-1315, 0-2203-8992-3 โทรสาร 0-5344-1981 รับผิดชอบให้แก่ลูกค้าภาคราชการและเอกชนใน 5 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง ลำพูน และพะเยา
3. สาขาภาคใต้ เลขที่ 10 ถ.นิพัทธ์สงเคราะห์ 5 อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา 90110 โทร.0-7423-0546-8, 0-2203-8994-5 โทรสาร 0-7423-0533-4 รับผิดชอบให้บริการแก่ลูกค้าภาคราชการและเอกชนใน 7 จังหวัด ได้แก่ สงขลา พัทลุง ยะลา ปัตตานี นราธิวาส ตรัง และสตูล
ข้อมูลโดย กองประชาสัมพันธ์