องค์การเภสัชกรรม รับผิดชอบชีวิต ผลิตยาคุณภาพ
วิสัยทัศน์องค์การเภสัชกรรม เป็นองค์กรหลักเพื่อความมั่นคงทางยาและเวชภัณฑ์ของประเทศที่ทันสมัยและยั่งยืน
การผลิต
องค์การเภสัชกรรมผลิตยาและเวชภัณฑ์ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ดีในการผลิตยา (Good Manufacturing Practice : GMP) ในทุกขั้นตอนของกระบวนการผลิตด้วยระบบการจัดการด้านคุณภาพที่เข้มงวดตั้งแต่วัตถุดิบที่นำมาใช้ในการผลิต บรรจุภัณฑ์ อาคารสถานที่ เครื่องจักร อุปกรณ์ บุคลากร รวมถึงสิ่งแวดล้อมเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงสุด โดยได้รับการรับรองมาตรฐานสากล ISO 9001 : 2000 และ ISO 14001
จากการรักษาและพัฒนามาตรฐานการผลิตยามาตรฐาน GMP อย่างเคร่งครัด องค์การเภสัชกรรมจึงได้รับการรับรองมาตรฐานการผลิตยาในทุกหมวดการผลิตตลอดมา และกำลังเตรียมตัวเข้าสู่มาตรฐาน WHO GMP ซึ่งเป็นมาตรฐาน GMP ระดับสากล เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในตลาดต่างประเทศและพัฒนามาตรฐานการผลิตยาในประเทศ
ผลิตภัณฑ์
ผลิตภัณฑ์ในด้านการรักษาโรคขององค์การเภสัชกรรม มีมากกว่า 200 รายการ ในทุกหมวดการผลิต (ยาเม็ด แคปซูล ขี้ผึ้ง ครีม ยาผง ยาฉีด ยาน้ำ ยาน้ำเชื่อม และยาน้ำเชื่อมชนิดแห้ง) ทั้งยาในบัญชียาหลักแห่งชาติและนอกบัญชี รวมถึงยาที่ใช้ในโครงการรณรงค์ทางการสาธารณสุขต่างๆ มีกำลังการผลิตต่อปีโดยประมาณ ดังนี้ ยาเม็ด 4,000 ล้านเม็ด แคปซูล 100 ล้านแคปซูล ยาน้ำ, ยาน้ำเชื่อม 5 ล้านลิตร ยาผง 0.15 ล้านกิโลกรัม ขี้ผึ้งและครีม 0.43 ล้านกิโลกรัม ยาฉีด 19 ล้านขวด/หลอด
ชีววัตถุ การผลิตชีววัตถุขององค์การเภสัชกรรม ได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2489 ในขณะที่ยังมีฐานะเป็นโรงงานเภสัชกรรม โดยผลิตวัคซีนป้องกันโรคไข้ทรพิษ (Smallpox Vaccine) ซึ่งเป็นโรคติดต่อร้ายแรงในขณะนั้น สามารถผลิตเพื่อสนองความต้องการของประเทศและภูมิภาค มีส่วนช่วยในการกวาดล้างไข้ทรพิษให้หมดไปจากโลกได้
หลังจากนั้นฝ่ายชีววัตถุยังดำเนินการผลิตวัคซีนและจัดหาวัคซีน เพื่อใช้ในโครงการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคให้กับประชาชนของกระทรวงสาธารณสุข โดยเป็นโรงงานเดียวในประเทศที่ทำการผลิตวัคซีนตั้งแต่ในขั้นต้นจนเป็นวัคซีนสำเร็จรูป
ปัจจุบันองค์การเภสัชกรรมมีการผลิตชีววัตถุทั้งประเภทวัคซีนและเซรุ่มรวม 8 รายการ ผลิตภัณฑ์ที่ได้มีการพัฒนาขึ้นมาที่สำคัญ ได้แก่ วัคซีนป้องกันโรคไข้สมองอักเสบจากไวรัสเจอีสายพันธุ์เบจิ้ง (Japanese Encephalitis Vaccine, Beijing Strain) ซึ่งมีการพัฒนาขึ้น
ผลิตภัณฑ์ชีววัตถุขององค์การเภสัชกรรม ส่วนใหญ่เป็นผลิตภัณฑ์ที่องค์การเภสัชกรรมดำเนินการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการของกระทรวงสาธารณสุข ตามแผนการรณรงค์เสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคเป็นหลัก โดยไม่มุ่งหวังผลกำไร
ยาตำราหลวง ยาตำราหลวงเป็นยาสามัญประจำบ้าน ที่องค์การเภสัชกรรมผลิตขึ้นสำหรับใช้ในการดูแลรักษาตนเองเบื้องต้น เมื่อมีอาการเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ เพื่อให้ประชาชนได้มียาดีราคาถูกไว้ใช้อย่างทั่วถึง เป็นยาที่มีความปลอดภัยสูง และมีราคาถูก ประชาชนสามารถหาซื้อไว้ใช้เองประจำบ้านได้อย่างปลอดภัย เพราะถึงแม้จะมีราคาถูก แต่เป็นยามาตรฐานเดียวกับยาประเภทอื่นๆ ขององค์การเภสัชกรรมเพียงแต่ต่างกันในขนาดบรรจุเท่านั้น
นวัตกรรมยาเพื่อสุขภาพคนไทย
องค์การเภสัชกรรมได้ให้ความสำคัญกับการวิจัยเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์รองรับงานสาธารณสุขของประเทศ โดยมุ่งเน้นการใช้ทรัยากรธรรมชาติภายในประเทศ ผสมผสานกับเทคโนโลยีที่ทันสมัยในการผลิต พัฒนายาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพต่างๆ ในมาตรฐานระดับสากล โดยมีการจัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาองค์การเภสัชกรรม ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยของประเทศ พร้อมพัฒนาออกมาเป็นรูปของผลิตภัณฑ์ต่างๆ อาทิ
ยาต้านไวรัสเอดส์ การผลิตยาต้านไวรัสเอดส์ขององค์การเภสัชกรรม เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 โดยเริ่มผลิตยาแคปซูล AZT (Zidovudine) 100 mg capsules หลังจากนั้นได้พัฒนาสูตรตำรับยาต้านไวรัสเอดส์อื่นๆ ตามมาอีกหลายรายการ แต่เป็นการผลิตในระดับห้องปฏิบัติการ จนในปี พ.ศ. 2544 จึงได้มีการขยายกำลังการผลิตเป็นระดับอุตสาหกรรม โดยใช้เงินลงทุนไปกว่า 22 ล้านบาท
องค์การเภสัชกรรมได้พัฒนาสูตรยาต้านไวรัสเอดส์ โดยรวมยา 3 ตัวไว้ในเม็ดเดียวกัน ซึ่งประกอบด้วย เนวิราปีน (nevirapine), ลามิวูดีน (lamivudine) และสตาวูดีน (stavudine) และได้รับอนุสิทธิบัตรจากกรมทรัพย์สินทางปัญญาเมื่อ 6 ส.ค.2545 ยาดังกล่าวคือยา GPO-VIR S30® และ GPO-VIR S40®
นอกจากนี้ยังมียาที่อยู่ในระหว่างการพัฒนาสูตรตำรับ ได้แก่ ยาเม็ดรวมเนวิราปีน (nevirapine), ลามิวูดีน (lamivudine) และ สตาวูดีน (stavudine) สำหรับเด็ก และยาเม็ดรวมเนวิราปีน (nevirapine), ลามิวูดีน (lamivudine) และ ซิโดวูดีน (zidovudine) สำหรับเด็กด้วย จากการพัฒนาสูตรตำรับยารวมนี้จะช่วยให้ผู้ป่วยใช้ยาได้สะดวกขึ้น และลดปัญหาการลืมรับประทานยา อันนำมาซึ่งภาวะการดื้อยาในอนาคต
การคิดค้นและพัฒนายาต้านไวรัสเอดส์ขององค์การเภสัชกรรม ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงยาได้มากขึ้น เนื่องจากยาต้านไวรัสเอดส์ขององค์การเภสัชกรรมให้ผลการรักษาเทียบเท่ายาต้นแบบ แต่ราคาถูกกว่ามาก
ปัจจุบันองค์การเภสัชกรรมผลิตยาต้านไวรัสเอดส์ ได้แก่ Zidovudine, Didanosine, Stavudine, Nevirapine, Lamivudine, Nelfinavir เป็นผลิตภัณฑ์ออกจำหน่ายรวม 24 รายการ และกำลังจะพัฒนาสู่มาตรฐานคุณภาพ WHO GMP
การผลิตยา Oseltamivir (GPO-A-Flu®)
จากสถานการณ์การระบาดของโรคไข้หวัดนกในช่วงที่ผ่านมาจึงทำให้ยา Oseltamivir ซึ่งเป็นยารักษาโรคไข้หวัดใหญ่เป็นที่ต้องการทั่วโลก
กระทรวงสาธารณสุขจึงมอบหมายให้องค์การเภสัชกรรมทำการศึกษาวิจัยและพัฒนาเพื่อผลิตยา Oseltamivir (GPO-A-Flu®) สำหรับการเตรียมพร้อมรับการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ เพื่อให้มียาสำรองไว้ใช้ภายในประเทศ หากเกิดภาวะขาดแคลนยาดังกล่าว โดยคาดว่าองค์การเภสัชกรรมสามารถผลิตได้ในราคาที่ถูกกว่ายาต้นแบบ และทำให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงยาได้มากขึ้น
การผลิตยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพจากสมุนไพร
ซึ่งเป็นการสนองนโยบายของภาครัฐ ที่เน้นเรื่องของการส่งเสริมและพัฒนาสมุนไพรให้แพร่หลายมากขึ้นในรูปของผลิตภัณฑ์ที่ทันสมัย อาทิ
การวิจัยวัตถุดิบเพื่อผลิตยา Deferiprone (L1) รักษาผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมีย ซึ่งรัฐต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลประมาณปีละ 5,000 - 6,000 ล้านบาท จากการวิจัยดังกล่าวทำให้ยารักษาโรคธาลัสซีเมียมีราคาถูกลง สามารถลดงบประมาณของรัฐในการซื้อยาลงได้ถึง 900 ล้านบาทต่อปี สำหรับการใช้ยาของผู้ป่วย 10,000 ราย
การผลิตยาโรคกระเพาะจากใบเปล้าน้อย ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อลดการนำเข้ายาตัวนี้จากต่างประเทศ
การผลิตผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพต่างๆ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากสมุนไพรขมิ้นชัน ประกอบด้วย GPO Curmin Cream, GPO Curmin Capsule, GPO Curmin Cleansing Gel, GPO Curmin Hydrating Toner, ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร GPO Naturplex, ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำจากสมุนไพร 5 ตัว ได้แก่ คัดเค้า สะแกนา พิกุล พลูคาว งวงตาล ผลิตภัณฑ์เจลล้างมือ จีพีโอ เซนเทลลา คลีน เจล ซึ่งเป็นสมุนไพรทำจากบัวบก เป็นต้น
องค์การเภสัชกรรมมุ่งมั่นที่จะดำเนินการวิจัยและพัฒนายา และสมุนไพรต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนต่อไป
ข้อมูลโดย กองประชาสัมพันธ์