ประวัติองค์การเภสัชกรรม
การก่อตั้งโรงงานเภสัชกรรม
ก่อน พ.ศ. 2480 ยารักษาโรคแผนปัจจุบันที่ใช้ในประเทศไทย ต้องสั่งซื้อมาจากต่างประเทศแทบทั้งสิ้น ยังไม่มีโรงงานสำหรับผลิตยาขึ้นใช้เองภายในประเทศอย่างเป็นระบบอุตสาหกรรม ดร.ตั้ว ลพานุกรม ในสมัยดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์ กระทรวงเศรษฐการ เมื่อก่อตั้งกองเภสัชกรรมขึ้นในปี 2480 เพื่อศึกษาวิเคราะห์วิจัยทางเภสัชกรรมและวิจัยสมุนไพรที่ใช้ทำเป็นยาได้พิจารณาเห็นว่าประเทศไทยต้องสั่งซื้อยาแผนปัจจุบันมาจากต่างประเทศ มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นทุกปี ตัวยาหลายชนิดทำมาจากสมุนไพรที่มีอยู่ภายในประเทศ เพียงแต่ยังขาดโรงงานที่จะผลิตให้เป็นยาเข้ามาตรฐานเภสัชตำรับ จึงมีความมุ่งมั่นที่จะคิดจัดสร้างโรงงานเภสัชกรรมขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมภายในประเทศให้เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น เพื่อเป็นการประหยัดเงินที่ต้องสั่งยาจากต่างประเทศให้ลดน้อยลงและเพื่อจะได้มียาสำรองไว้ใช้ในประเทศ ป้องกันขาดแคลนแม้ในยามคับขัน และได้เริ่มสร้างโรงงานเภสัชกรรมขึ้นในที่ดิน ซึ่งเช่าจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ที่ตำบลพญาไท มีเนื้อที่ 47 ไร่ เมื่อเดือนมกราคม 2482
อาคารผลิตยาหลังแรกเป็นอาคารชั้นเดียวมีขนาด 20x45 เมตร สร้างเสร็จในเดือน มิถุนายน 2483 สิ้นค่าก่อสร้างเป็นเงิน 36,635 บาท และได้สร้างอาคารประกอบอื่น ๆ เพิ่มขึ้น รวมเป็นเงินค่าก่อสร้างทั้งสิ้น 71,324 บาท โดยใช้งบประมาณกรมวิทยาศาสตร์ 62,704 บาทและเงินทุนของโรงงาน 8,620 บาท
ในระยะแรกโรงงานเภสัชกรรมผลิตยาออกจำหน่ายรวม 25 ชนิด ได้แก่ยาฉีด 3 ชนิด ยาเม็ด 7 ชนิด ทิงเจอร์ 9 ชนิด ยาสกัด 1 ชนิด ยาสปิริต 1 ชนิด รวมกับยาที่เคยผลิตมาก่อนตั้งแต่กรมวิทยาศาสตร์ยังเป็นศาลาแยกธาตุอีก 4 ชนิด คือ ยารักษาโรคเรื้อนจากน้ำมันกระเบา 3 ชนิด ยาสกัดวิตามินบี จากรำข้าว 1 ชนิด
เนื่องจากการดำเนินงานโรงงานเภสัชกรรม มีลักษณะเป็นธุรกิจจัดรูปการบริหารแยกจากกรมวิทยาศาสตร์ โดยมีคณะกรรมการอำนวยการซึ่งแต่งตั้งโดย อนุมัติของคณะรัฐมนตรี ทำหน้าที่กำหนดนโยบายและควบคุมกำกับการดร.ตั้ว ลพานุกรม ได้ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการอำนวยการคนแรก และได้เจรจาทำความตกลงขอกู้เงินจากกระทรวงการคลังจำนวน 5 แสนบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปี กำหนดชำระเงินคืนภายใน 10 ปี เพื่อนำมาเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน
การก่อตั้งโรงงานเภสัชกรรมขึ้นนั้น มิใช่จะดำเนินการได้โดยง่าย เนื่องจากมีผู้เห็นความสำคัญและความจำเป็นของการมีโรงงานผลิตยาขึ้นใช้เองไม่มากนักในหมู่ผู้บริหารบ้านเมือง แต่ด้วยเหตุที่ ดร.ตั้ว ลพานุกรม เป็นคณะผู้ก่อการสำคัญและดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีด้วยได้เอาใจใส่ชี้แจงติดตามแก้ไขอุปสรรคข้อขัดข้องและติดตามประสานงานอย่างใกล้ชิดจนดำเนินการสำเร็จลุล่วงไปได้
โรงงานเภสัชกรรมเผชิญสงคราม
ในเดือนธันวาคม 2484 ได้เกิดสงครามมหาเอเชียบูรพาขึ้น ญี่ปุ่นยกกองทัพเข้าสู่ประเทศไทยเครื่องอุปโภคบริโภคเริ่มขาดแคลน และมีราคาสูงขึ้น การขนส่งสินค้าจากต่างประเทศหยุดชะงัก ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานจากโรงงานเภสัชกรรมเป็นอย่างมากเพราะขาดวัตถุดิบในการผลิตยา
ในปี 2485 มีการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม และได้มีการจัดตั้งกระทรวงสาธารณสุขขึ้น โรงงานเภสัชกรรมต้องพ้นจากการสังกัดในกรมวิทยาศาสตร์ กระทรวงเศรษฐการ โอนมาเป็นแผนกหนึ่งของกองเภสัชกรรม กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2485
วันที่ 24 มิถุนายน 2485 ได้มีพิธีเปิดโรงงานเภสัชกรรมอย่างเป็นทางการ โดยมี พ.อ.ช่วง เชวงศักดิ์สงคราม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธานในพิธี
สงครามที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปลายปี 2484 ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น กองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรได้ส่งเครื่องบินเข้ามาทิ้งระเบิดโจมตีกองทัพทหารญี่ปุ่นในกรุงเทพฯ ประชาชนต้องอพยพหนีภัยออกไปอยู่นอกเมือง โรงงานเภสัชกรรมก็ต้องอพยพทรัพย์สินบางส่วน และย้ายการผลิตบางประเภทไปผลิตยาบางประเภทไปผลิตยาอยู่ที่วัดบางเดื่อ จังหวัดปทุมธานี
ระหว่างสงครามเริ่มขาดแคลนเครื่องอุปโภคบริโภค เพราะไม่สามารถนำเข้าจากต่างประเทศได้ โดยเฉพาะยารักษาโรคมีราคาแพงมากนับร้อยเท่าของราคาปกติ เนื่องจากการกักตุนสินค้า
โรงงานเภสัชกรรมซึ่งดำเนินการมาไม่นานนัก ไม่อาจจัดเครื่องจักรกลงใช้ในการผลิตตามโครงการที่วางไว้ ต้องพยายามจัดหาและคัดแปลงเครื่องมือที่ทำขึ้นในประเทศมาใช้ ขาดแคลนวัตถุดิบ ต้องพยายามจัดหาและทำวัตถุดิบขึ้นใช้เอง
โดยโรงงานเภสัชกรรมก็สามารถผลิตเคมีภัณฑ์และยาจากวัตถุดิบที่หาได้ในประเทศขึ้นใช้เองได้หลายชนิดเช่น Sodium Choride สำหรับทำน้ำเกลือฉีด,Chloroform, สำหรับดมสลบ Morphine ,Codeine ,Ethyl Alcohol,และ Insulin เป็นต้น ช่วยให้มียาไว้ใช้ในราชการ และบริการประชาชนบรรเทาความขาดแคลนยาในภาวะสงครามได้เป็นอันมากสมตามเจตนารมณ์ของ ฯพณฯ ดร.ตั้ว ลพานุกรม ผู้ให้กำเนิดโรงงานเภสัชกรรม เมื่อสงครามสงบลงในปี 2488 โรงงานเภสัชกรรมสามารถผลิตยาต่าง ๆ เพิ่มขึ้นจากเดิม 28 ชนิด เป็น 55 ชนิด และมูลค่าผลผลิตเพิ่มจากปีละ 1 แสนบาทเศษ เป็น 7 แสนบาทเศษ
โรงงานเภสัชกรรมหลังภาวะสงคราม
เมื่อสงครามสิ้นสุดลงใหม่ ๆ การคมนาคมยังไม่สะดวกนัก ความขาดแคลนยารักษาโรคที่เป็นอยู่ในระหว่างภาวะสงคราม ก็ยังคงขาดแคลนอยู่ต่อไปอีก มีเอกชนหลายรายได้จัดตั้งโรงงานผลิตยาขึ้น แต่ส่วนใหญ่เป็นโรงงานชนิดที่มีต้นทุนการผลิตน้อยและไม่ได้มาตรฐานเท่าที่ควร ยาที่ผลิตได้จึงไม่ได้มาตรฐานตามหลักวิชาการ แต่ก็ขายได้ดี จึงมีผู้เริ่มตั้งโรงงานผลิตยาตามกันขึ้นหลายรายการ
ในส่วนของโรงงานเภสัชกรรมแม้จะคิดราคาย่อมเยา แต่ก็ขายได้มากจนผลิตไม่ทันขาย จึงทำให้มีผลกำไรพอสมควร เมื่อสถานการณ์ด้านการเงินดีขึ้น โรงงานเภสัชกรรมได้นำส่งเงินกู้จำนวน 500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี คืนกระทรวงการคลังได้หมดในเดือนมกราคม 2487 เงินกำไรส่วนที่เหลือนำส่งเป็นรายได้รัฐ และได้รับจัดสรรให้เป็นเงินทุนสำหรับดำเนินงานต่อไป เป็นต้น 800,000 บาท
เมื่อกิจการของโรงงานเภสัชกรรมมั่นคงดีแล้ว กองโอสถศาลา กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ซึ่งมีภารกิจสำคัญในการจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์จำหน่ายให้แก่ส่วนราชการ และปรุงยาตำราหลวงออกจำหน่ายจึงได้มอบหน้าที่การผลิตยาตำราหลวงให้แก่โรงงานเภสัชกรรมโดยกองโอสถศาลาเป็นผู้จำหน่ายด้านเดียว
ปี 2489 โรงงานเภสัชกรรมได้เริ่มดำเนินการผลิตยาป้องกันโรค ประเภทชีววัตถุ ขึ้นเป็นชนิดแรก คือ วัคซีนป้องกันไข้ทรพิษ (Smallpox Vaccine) โดยได้จัดสร้างอาคารผลิตขึ้นด้วยเงินของโรงงานเภสัชกรรม เป็นเงิน 97,000 บาท แล้วได้ผลิตวัคซีน ท็อกซอยด์ และเซรุ่มพิ่มขึ้นอีกหลายชนิดในเวลาต่อมา
รัฐบาลได้จัดสรรเงินงบประมาณให้เป็นทุนในปี 2493 เป็นเงิน 4,000,000 บาท เพื่อก่อสร้างอาคารผลิตและจัดหาเครื่องจักร และเครื่องมือวิทยาศาสตร์ จำนวน 3,000,000 บาท เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียน จำนวน 1,000,000 บาท และได้ให้เพิ่มขึ้นอีก 6,000,000 บาท ในปี 2494 เพื่อก่อสร้างอาคารผลิตยาอีก 1 ครั้ง
วันที่ 13 กันยายน 2495 ได้มีพระราชกฤษฎีกาจัดวางระเบียบราชการกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ในกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. 2495 โรงงานเภสัชกรรมพ้นจากสังกัดในกองเภสัชกรรม กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ในฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจ บริหารงานโดยคณะกรรมการอำนวยการ ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง และอยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงสาธารณสุขตำแหน่ง "ผู้จัดการ" ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "ผู้อำนวยการ"
กิจการของโรงงานเภสัชกรรมเจริญก้าวหน้าเป็นอันมาก เมื่อปี 2500 โรงงานเภสัชกรรมผลิตยารักษาโรคและป้องกันโรคเพิ่มขึ้นเป็น 195 ชนิด และมีมูลค่าผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 7 ล้านบาท
โรงงานเภสัชกรรมยุคหลังปี 2500
เมื่อหลวงลิขปิธรรมศรีพัตต์พ้นจากตำแหน่งไป ศาสตร์จารย์จำลอง สุวคนธ์ ได้เข้ามาดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์แทนในเดือนธันวาคม 2500 ต่อมาขุนโอสถสิทธิการซึ่งดำรงตำแหน่งผู้จัดการและผู้อำนวยการโรงงานเภสัชกรรมติดต่อกันมาเป็นเวลาถึง 16 ปี ได้พ้นจากตำแหน่งไปในปี 2502 ด้วยเหตุสูงอายุนายเชย วัณณรถ เลขานุการกรมวิทยาศาสตร์เข้ารับตำแหน่งแทน แต่ก็เป็นอยู่ในระยะเวลาเพียงปีเศษ ก็พ้นจากตำแหน่งไป ศาสตร์จารย์จำลอง สุวคนธ์ ได้เข้ามารักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการโรงงานเภสัชกรรมตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนายน 2504 เป็นต้นมา
พระบำราศนราดูร ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขในปี 2502 และเป็นประธานกรรมการอำนวยการโรงงานเภสัชกรรมด้วย การขยายงานของโรงงานเภสัชกรรมยังคงดำเนินการต่อไป นอกจากจะขยายงานด้วยเงินของโรงงานเภสัชกรรมเองแล้ว รัฐบาลยังได้จัดสรรเงินงบประมาณเพื่อเป็นค่าก่อสร้างอาคาร เครื่องจักรกล และเครื่องมือวิทยาศาสตร์ให้กับโรงงานเภสัชกรรม ในระหว่างปี 2507-2509 ติดต่อกัน 3 ปีรวมเป็นเงิน 4,835,970 บาท พระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เมื่อปี 2502 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระมหากรุณาธิคุณ โดยทรงห่วงใยต่อพสกนิกรของพระองค์ท่าน และมีพระราชประสงค์ที่จะให้โรงงานเภสัชกรรมมีขีดความสามารถในการผลิตน้ำเกลือฉีดได้มากขึ้น เพื่อที่จะมิให้เกิดการขาดแคลนในยามที่มีอหิวาตกโรคระบาด มีน้ำกลั่นสำหรับผลิตน้ำเกลือฉีดได้เพียงพอกับความต้องการ จึงโปรดเกล้าฯ พระราชทานเครื่องกลั่นน้ำ ขนาดกลั่นน้ำได้ชั่วโมงละ 100 แกลลอน 1 เครื่อง (ของบริษัท (Barnstead Still and Sterillzer Co.,USA) ราคา 79,622.42 บาท (ไม่รวมค่าอากรขาเข้า ซึ่งได้รับการยกเว้นกรณีพิเศษ) เครื่องกลั่นน้ำเครื่องนี้ได้เข้ามาถึงเมืองไทย เมื่อเดือนธันวาคม 2503 และติดตั้งใช้การได้เมื่อปี 2504 ในระยะเวลานั้น ได้มีอหิวาตกโรคระบาดขึ้นอย่างรุนแรงแสมอ เครื่องกลั่นน้ำเครื่องนี้ได้ยังประโยชน์แก่ประชาชนชาวไทยตลอดมาตามพระราชประสงค์ และเป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าฯ
จากโรงงานเภสัชกรรมมาเป็นองค์การเภสัชกรรม
โรงงานเภสัชกรรมดำเนินกิจการมาเป็นเวลา 20 ปี จากผลการจำหน่ายในปีเริ่มแรกประมาณ 1 แสนบาท ได้เพิ่มขึ้นเป็น 11.05 ล้านบาท ในปี 2502และมีกำไรจากการดำเนินงานตลอดมาทุกปี ก็ต้องประสบกับภาวะขาดทุนในปี 2503 ติดต่อกันมาถึง 2504 แม้ว่ายอดการจำหน่ายจะเพิ่มขึ้นทุกปีก็ตาม
ฯพณฯ พระบำราศนราดูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และดำรงตำแหน่งประธานกรรมการอำนวยการโรงงานเภสัชกรรม จึงได้แต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาปรับปรุงกิจการด้านการบริหารและวิชาการของโรงงานเภสัชกรรม และคณะกรรมการอำนวยการ โรงงานเภสัชกรรมได้แต่งตั้ง นายแพทย์จิตต์ เหมะจุฑา เป็นผู้อำนวยการโรงงานเภสัชกรรม และให้มาปฏิบัติหน้าที่เต็มเวลาจึงทำให้มีการปฏิบัติงานได้ใกล้ชิด และเอาใจใส่ปรับปรุงอย่างจริงจังมากขึ้น ทำให้กิจการดีขึ้นตามลำดับ
ในช่วงเวลาที่ผ่านมาในการจำหน่ายยาให้แก่ส่วนราชการนั้น เมื่อโรงงานเภสัชกรรมผลิตยาแล้วจำหน่ายให้กองโอสถศาลา กองโอสถศาลาจึงนำไปจำหน่ายให้แก่ส่วนราชการอีกทอดหนึ่งนั้น เป็นการดำเนินงานอย่างซ้ำซ้อนและสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมากกว่าที่ควรจะเป็น มีการคิดราคาบวกกำไรถึงสองครั้ง จากโรงงานเภสัชกรรมครั้งหนึ่ง และกองโอสถศาลาบวกกำไรอีกครั้งหนึ่ง ทำให้ต้นทุนราคาสูงขึ้นอีกด้วย โรงงานเภสัชกรรมเป็นรัฐวิสาหกิจส่วนกองโอสถศาลาเป็นส่วนราชการ แบบและลักษณะวิธีการปฏิบัติงานต่างกัน การร่วมมือประสานงานกันก็มีอุปสรรคการปรับปรุงประสิทธิภาพให้เกิดประโยชน์สูงสุดดังกล่าวจึงเป็นไปได้ยาก
คณะกรรมการพิจารณาปรับปรุงกิจการด้านบริหารและวิชาการของโรงงานเภสัชกรรมจึงสรุปข้อพิจารณาว่า "ควรรวมงานของกองโอสถศาลากับโรงงานเภสัชกรรมเข้าด้วยกัน ทั้งนี้เพราะจะทำให้กิจการดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย มีผู้บังคับบัญชาคนเดียวกัน ไม่ต้องมีคลังเวชภัณฑ์ การบัญชี และอื่น ๆ ซ้ำซ้อนกัน ตัดราคายาให้ต่ำลง เป็นประโยชน์แก่หน่วยงานราชการ เพราะคิดกำไรจากการผลิตเพียงครั้งเดียว" ซึ่งคณะกรรมการอำนวยการโรงงานเภสัชกรรม และกระทรวงสาธารณสุขได้เห็นชอบที่จะรวมโรงงานเภสัชกรรมกับกองโอสถศาลาให้เป็นกิจการเดียวกัน กระทรวงสาธารณสุขจึงเสนอขอยุบกองโอสถศาลากับโรงงานเภสัชกรรมให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา ซึ่งคณะรัฐมนตรีเห็นชอบในศักยภาพ และมอบให้กระทรวงสาธารณสุขพิจารณาว่าจะให้เป็นส่วนราชการ หรือองค์การโดยกรรมการสาธารณสุขได้มีคำสั่งให้รวมกิจการตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2506 เป็นต้นไป
สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ลงพระปรมาภิไธย ตรา พระราชบัญญัติองค์การเภสัชกรรม พุทธศักราช 2509 ให้ไว้ ณ วันที่ 5 สิงหาคม 2509
องค์การเภสัชกรรมจากการรวมกิจการของโรงงานเภสัชกรรม และกองโอสถศาลาจึงถือกำเนิดขึ้นนับแต่บัดนั้น และได้เริ่มดำเนินกิจการในฐานะองค์การเภสัชกรรม ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2509 เป็นต้นมา
โรงงานเภสัชกรรมในปี 2509 แบ่งส่วนงานออกเป็น 7 กองด้วยกันคือ กองอำนวยการ กองการเงินและบัญชี กองคลังเวชภัณฑ์ กองควบคุมคุณภาพและวิจัย กองการผลิต กองชีววัตถุ และกองการจำหน่าย มีพลังงานรวม 260 คน ผลิตยาและเวชภัณฑ์ได้ 368 ชนิด มีมูลค่าในการผลิตประมาณ 14 ล้านบาท และมีทรัพย์สินรวม 32 ล้านบาทเศษ
กองโอสถศาลา แบ่งส่วนงานออกเป็น 3 แผนกคือ แผนกคลังเวชภัณฑ์ แผนกจัดและจำหน่ายเวชภัณฑ์ และแผนกปรุงยา มีเจ้าหน้าที่รวมทั้งสิน 89 คน มียอดการจำหน่ายในปี 2507 ประมาณ26 ล้านบาทเศษ มีทรัพย์สินรวม 15 ล้านบาทเศษ
พระราชบัญญัติองค์การเภสัชกรรม พ.ศ.2509 กำหนดทุนขององค์การเภสัชกรรมไว้เป็นจำนวนเงิน 100 ล้านบาท โดยถือเอาเงินหมุนเวียนเวชภัณฑ์ของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กับเงินทุนของโรงงานเภสัชกรรม เป็นทุนประเดิมและรัฐบาลจะจ่ายเพิ่มเติมเป็นคราว ๆ ตามจำนวนที่รัฐบาลพิจารณาเห็นสมควร
ทุนเมื่อเริ่มดำเนินกิจการได้รับมาจากกองโอสถศาลา 15.84 ล้านบาท จากโรงงานเภสัชกรรม 32.19 ล้านบาท และจากงบประมาณรัฐบาล 1.11ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 49.15 ล้านบาท
และเป็นจุดเริ่มต้นที่จะก้าวต่อไปข้างหน้าเพื่อสืบทอดภารกิจและเจตนารมณ์ที่จะอำนวยประโยชน์แก่ประเทศชาติ และประชาชนต่อไปในนามของ "องค์การเภสัชกรรม"
ข้อมูลโดย กองประชาสัมพันธ์